วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

บทบาทของอาเซียนด้านมนุษย์ธรรมเเละการร่วมสร้างสันติภาพของโลก

1. บทบาทของสหประชาชาติ
1.1 สหประชาชาติเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ได้รับการยอมรับจาก 192 ประเทศสมาชิกให้มีบทบาทหน้าที่ในการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติตามที่ระบุในกฎบัตรสหประชาชาติ 2 ประการคือ การแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี (หมวดที่ 6 ว่าด้วยการระงับกรณีพิพาทโดยสันติ : ข้อ 33-38) และการดำเนินการเพื่อระงับภัยคุกคามสันติภาพ การละเมิดสันติภาพหรือการใช้กำลังรุกราน (หมวดที่ 7 ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับการคุกคามต่อสันติภาพ การละเมิดสันติภาพ และการกระทำการรุกราน: ข้อ 39-51 ) ซึ่งถือเป็นมาตรการการใช้กำลังเพื่อให้เกิดสันติภาพ (peace enforcement)
1.2 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นกลไกของสหประชาชาติที่มีอำนาจในการวินิจฉัยและดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อระงับ/ยุติความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้น แม้ว่าประเทศสมาชิกสหประชาชาติจะสามารถหยิบยกปัญหาความขัดแย้งขึ้นสู่การพิจารณาของสมัชชาสหประชาชาติได้ แต่อำนาจของสมัชชาฯ จำกัดอยู่เพียงการให้คำแนะนำ โดยไม่มีอำนาจเหมือนคณะมนตรีความมั่นคงฯ
1.3 ปฏิบัติการรักษาสันติภาพเป็นหนึ่งในมาตรการของสหประชาชาติที่จะธำรงรักษาสันติภาพและ ความมั่นคงระหว่างประเทศ แต่เนื่องจากเป็นมาตรการที่กำหนดขึ้นภายหลังการก่อตั้งสหประชาชาติ จึงไม่มีระบุไว้ในกฎบัตรฯ ดังนั้น ความหมายและขอบข่ายอำนาจหน้าที่จึงเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของรูปแบบความขัดแย้งเป็นรายกรณี
1.4 ในช่วงก่อนการสิ้นสุดของสงครามเย็น บทบาท/ภาระหน้าที่ของปฏิบัติการรักษาสันติภาพจำกัดเพียง เฉพาะทางด้านทหารในการตรวจสอบ/ตรวจตรา/และรายงานการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงหรือข้อตกลงสันติภาพชั่วคราว การจัดตั้งและกำหนดอาณัติขอบเขตจึงเป็นปฏิบัติการตามหมวดที่ 6 ของกฎบัตรฯ (peaceful settlement) โดยยึดหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ การได้รับความยินยอม (consent) จากประเทศที่เกี่ยวข้อง การไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (impartiality) และการไม่ใช้กำลัง ยกเว้นกรณีป้องกันตัว (non-use of force)
1.5 ตั้งแต่ยุคหลังสงครามเย็น รูปแบบของความขัดแย้งได้เปลี่ยนไป โดยสาเหตุของความขัดแย้งมิได้จำกัดเฉพาะระหว่างรัฐต่อรัฐ แต่บ่อยครั้งที่เกิดจากปัญหาภายในประเทศ อาทิ ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ/ศาสนา การละเมิดสิทธิมนุษยชน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นต้น ซึ่งความขัดแย้งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง อาทิ ปัญหาผู้อพยพ
1.6 ผลสำเร็จของสงครามอ่าว (Gulf War) ในตะวันออกกลางเมื่อปี 2534 ทำให้สหรัฐฯ และประเทศตะวันตกผลักดันแนวความคิดเกี่ยวกับ new world order ที่มีการจัดกำลังในลักษณะ collective security system ภายใต้สหประชาชาติ (มีสหรัฐฯ และพันธมิตรกลุ่มประเทศตะวันตกเป็นแกนนำ) เพื่อทำหน้าที่ธำรงสันติภาพโลก ทั้งนี้ ได้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงบทบาทของปฏิบัติการรักษาสันติภาพให้เน้นไปที่บทบาทการใช้กำลังเพื่อให้เกิดสันติภาพภายใต้หมวดที่ 7 ของกฎบัตรฯ มากขึ้น และสหประชาชาติเองก็พยายามผลักดันแนวความคิดดังกล่าวโดยในปี 2535 นายบรูโทรส บรูโทรส กาลี เลขาธิการฯ ในขณะนั้นได้จัดทำรายงานเรื่อง “วาระเพื่อสันติภาพ (Agenda for Peace)” เสนอให้มีการจัดตั้งกองกำลังของสหประชาชาติ (UN Army) เพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาสันติภาพและความมั่นคง แต่ปรากฏว่าแนวความคิดดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย เนื่องจากอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้กำลังในกรอบของสหประชาชาติขึ้นกับคณะมนตรีความมั่นคงฯ ที่ประเทศมหาอำนาจเป็นสมาชิกถาวร มิได้สะท้อนความเห็นและผลประโยชน์ของสมาชิกส่วนใหญ่
1.7 ประสบการณ์ความล้มเหลวของปฏิบัติการรักษาสันติภาพในรวันดา โซมาเลีย และบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา ซึ่งเป็นปฏิบัติการลักษณะการใช้กำลังเพื่อให้เกิดสันติภาพภายใต้หมวดที่ 7 ของกฎบัตรฯ เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นข้อจำกัดของปฏิบัติการรักษาสันติภาพที่มาจากสาเหตุสำคัญ คือ (1) สหประชาชาติต้องพึ่งการสนับสนุนทั้งหมดจากประเทศสมาชิก ทำให้การจัดกำลังแต่ละครั้งต้องใช้เวลารวบรวมกำลังพล และอาจจะได้ไม่ครบตามที่วางแผนไว้ (2) องค์ประกอบด้านบุคลากร ยุทโธปกรณ์ และการบังคับบัญชาไม่เอื้ออำนวยให้จัดหน่วยรบที่มีประสิทธิภาพได้ (3) การปฏิบัติการลักษณะการใช้กำลังเพื่อให้เกิดสันติภาพมีระดับความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน ซึ่งการสูญเสียเพียงเล็กน้อยที่เกิดกับกองกำลังอาจก่อให้เกิดกระแสสังคมภายในประเทศกดดันให้รัฐบาลต้องถอนการสนับสนุน ซึ่งอาจทำให้ปฏิบัติการรักษาสันติภาพนั้นๆ ต้องล้มเลิกไปในที่สุด
1.8 จุดแข็งของปฏิบัติการรักษาสันติภาพ คือ ความเป็นสากล (universality) และการได้รับความยอมรับทางการเมืองจากทุกฝ่ายของประเทศที่เกี่ยวข้อง (political acceptance) การไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และการไม่ใช้กำลัง ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าบทบาทที่เหมาะสมของปฏิบัติการรักษาสันติภาพคือ การเป็นกำลังป้องปราม (deterrent force) มากกว่ากองกำลังสู้รบ เนื่องจากฝ่ายต่างๆ ที่ขัดแย้งกันต่างตระหนักดีว่าการโจมตีทำร้ายกองกำลังสหประชาชาติ จะทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากประชาคมโลก
1.9 ปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้มีพัฒนาการจากบทบาทเดิมที่เน้นเฉพาะความพยายามในการยุติการสู้รบและความขัดแย้งมาสู่ภารกิจที่มีหลากหลายมิติ ทั้งการรักษาสันติภาพและการฟื้นฟูเสริมสร้างสันติภาพภายหลังความขัดแย้งเพื่อให้เกิดสันติภาพอย่างยั่งยืน เช่น การยุติความขัดแย้งของคู่กรณี การมีส่วนร่วมในกระบวนการรักษาความมั่นคงและอำนวยความสะดวกให้เกิดระบบการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่น การบรรเทาทุกข์เพื่อมนุษยธรรม และการพัฒนา ซึ่งเป็นภารกิจที่ซับซ้อนมากขึ้นและจำเป็นต้องมีการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ดังนั้น สหประชาชาติจึงให้ความสำคัญกับการปฏิรูปปฏิบัติการรักษาสันติภาพ เช่น การปรับโครงสร้างสำนักเลขาธิการสหประชาชาติ โดยให้ Department of Peacekeeping Operations (DPKO) รับผิดชอบงานด้านการวางแผนและจัดการกองกำลังและปฏิบัติการรักษาสันติภาพ และจัดตั้ง Department of Field Support (DFS) เพื่อรับผิดชอบด้าน logistics แก่กองกำลังและปฏิบัติการรักษาสันติภาพ รวมถึงบุคลากร งบประมาณ และการสื่อสาร และโครงการพัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์ของปฏิบัติการรักษาสันติภาพ (New Horizon Project) เพื่อวิเคราะห์เชิงรุกเกี่ยวกับปัญหาและความท้าทายของปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติอันเป็นผลจากสภาพปัญหาความขัดแย้งที่เปลี่ยนแปลงไป
1.10 เมื่อปี พ.ศ. 2546 สหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 29 พฤษภาคมของทุกปีเป็น “วันสากลแห่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติ” (International Day of United Nations Peacekeepers) เพื่อรำลึกถึงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและพลเรือนที่อุทิศตน รวมทั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหน้าที่ที่พลีชีพ ในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ เข้มแข็ง และเป็นมืออาชีพในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง บรรเทาความทุกข์ยากของผู้อื่น ร่วมสร้างสันติภาพและความสงบสุขในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกตามบทบัญญัติของกฏบัตรสหประชาชาติ โดยวันที่ 29 พฤษภาคมเป็นวันที่สหประชาชาติจัดตั้งภารกิจรักษาสันติภาพขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ในบริเวณดินแดนปาเลสไตน์และอิสราเอลเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์และติดตามการปฏิบัติตามข้อตกลงสงบศึก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติมีเอกลักษณ์ประจำตัว คือ หมวกสีฟ้า ทั้งที่เป็นหมวกเหล็ก (helmet) และหมวกเบเรต์ (beret) ที่สวมใส่ในการปฏิบัติหน้าที่ และตราสัญลักษณ์ของสหประชาชาติที่ติดอยู่บนแขนเสื้อ เพื่อแสดงถึงเอกภาพและความเป็นกลาง
2. บทบาทของไทยในปฏิบัติการรักษาสันติภาพ
2.1 ไทยเห็นว่า การดำเนินมาตรการป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด และสนับสนุนความพยายามของสหประชาชาติในการสร้างวัฒนธรรมการป้องกัน (culture of prevention) ให้เกิดขึ้นในบรรดาประเทศสมาชิกดีกว่าการรอให้ปัญหาเกิดแล้วจึงหาวิธีแก้ไข และยังเห็นว่า ปฏิบัติการรักษาสันติภาพเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการสำคัญในการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงของสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม การใช้ปฏิบัติการรักษาสันติภาพต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้วยว่าสามารถใช้กับสถานการณ์ใดได้บ้าง การจัดส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดความสูญเปล่าของงบประมาณ ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดของลักษณะของปฏิบัติการรักษาสันติภาพและทรัพยากรของสหประชาชาติ ไทยจึงเห็นว่า ในการพิจารณาจัดตั้งปฏิบัติการรักษาสันติภาพ สหประชาชาติควรมี entry & exit strategy ที่ชัดเจน
2.2 ไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพในหลายภูมิภาคทั่วโลก ดังนี้
(1) United Nations Observer Group in Lebanon UNOGIL - ส่งนายทหารเข้าร่วมภารกิจในเลบานอน (เดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2501)
(2) United Nations Transition Assistance Group: UNTAG (Namibia) – ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพลเรือน (civilian police) เข้าร่วมการตรวจสอบและสังเกตการณ์การเลือกตั้งในนามิเบีย (ปี 2533)
(3) United Nations Iraq-Kuwait Observation Mission (UNIKOM) - ส่งนายทหารปีละ 7 นาย เข้าร่วมภารกิจในบริเวณชายแดนอิรัก-คูเวต (ปี 2534- 2546)
(4) United Nations Guards Contingent in Iraq (UNGCI) – ส่งนายทหารเข้าร่วมรักษาความปลอดภัยในอิรัก รวม 2 ผลัด ผลัดละ 50 นาย (ปี 2534-2537)
(5) United Nations Advance Mission in Cambodia (UNAMIC) – ส่งกองพันทหารช่างเฉพาะกิจของไทย จำนวน 705 นาย (ปี 2534-2535)
(6) United Nations Transitional Authority in Cambodia (UNTAC) -ส่งเจ้าหน้าที่พลเรือนเข้าร่วมการตรวจสอบและสังเกตการณ์การเลือกตั้งในกัมพูชา (ปี 2536)
(7) United Nations Observer Mission in South Africa (UNOMSA) - ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพลเรือนเข้าร่วมการตรวจสอบและสังเกตการณ์การเลือกตั้งในแอฟริกาใต้ (ปี 2537)
(8) United Nations Mission in Bosnia and Herzegovina (UNMIBH) - ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าร่วมปีละ 5 นาย (ปี 2540-2545)
(9) United Nations Observer Mission in Sierra Leone (UNAMSIL) - ส่งนายทหารสังเกตการณ์ รวม 6 ผลัด ผลัดละ 3-5 นาย (ปี 2542-2548)
(10) United Nations Fijian Electoral Mission (UNFEOM) - ส่งเจ้าหน้าที่พลเรือนเข้าร่วมการตรวจสอบและสังเกตการณ์การเลือกตั้งในฟิจิ (ปี 2544)
(11) ปฏิบัติการรักษาสันติภาพในติมอร์เลสเต รวม 5 ภารกิจ
  • United Nations Mission in East Timor (UNAMET) : ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นายและนายทหารติดต่อ 2 นาย (ปี 2542)
  • International Force in East Timor (INTERFET) : ส่งนายทหาร 1,581 นาย (ปี 2542-2543)
  • UN Transitional Administration in East Timor (UNTAET) : ส่งนายทหาร 925 นาย (ปี 2543-2545)
  • UN Mission of Support in East Timor (UNMISET) : ส่งนายทหาร 9 ผลัด (ปี 2545-2547)
  • United Nations Integrated Mission in Timor-Leste (UNMIT) : ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ 40 นาย โดยปัจจุบันมี 18 นาย (ปี 2549-ปัจจุบัน)
(12) United Nations Operations in Burundi (ONUB) - ส่งนายทหารสังเกตการณ์ ปีละ 3 นาย และกองร้อยทหารช่าง (ผลัดละ 177 นาย) (ปี 2547-2549)
(13) United Nations Political Mission in Nepal (UNMIN) - ส่งนายทหารสังเกตการณ์ 7 นาย (ปี 2550-2551)
(14) United Nations Mission in Sudan (UNMIS) - ส่งนายทหารสังเกตการณ์ ผลัดละ 10-15 นาย (ปี 2548-ปัจจุบัน)
(15) African Union-United Nations Hybrid Operation in Darfur (UNAMID) - ส่งนายทหาร ผลัดละ 15 นาย (ปี 2550-ปัจจุบัน)
(16) United Nations Stabilisation Mission in Haiti (MINUSTAH) - ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ 19 นาย (สืบเนื่องจากกรณีแผ่นดินไหวเมื่อเดือนมกราคม 2553 ซึ่งทำให้สหประชาชาติขอเพิ่มกำลังพลสำหรับภารกิจดังกล่าว) โดยมีกำหนดวาระการปฏิบัติหน้าที่ 1 ปี และได้เดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2553 (ปี 2553-ปัจจุบัน)
2.4 นอกจากนี้ ไทยได้สนับสนุนทหารราบ 1 กองพัน (812 นาย) เข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพสผมระหว่างสหภาพแอฟริกากับสหประชาชาติในดาร์ฟูร์ (African Union-United Nations Hybrid Operation in Darfur : UNAMID) ตามคำร้องขอของสหประชาชาติ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2552
กองกำลังทหารไทยในนาม “กองกำลังเฉพาะกิจ 980 ไทย/ดาร์ฟูร์” ได้เข้าวางกำลังเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งพื้นที่หลักที่ไทยเข้าวางกำลัง คือ เมืองมุกจา อยู่ทางตอนใต้ของเขตดาร์ฟูร์ตะวันตก มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบโล่งแจ้ง สภาพภูมิอากาศมีความคล้ายคลึงกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย จำกัดการซุ่มโจมตี เอื้อต่อการตรวจการณ์ของกองกำลังไทย และมีความอุดมสมบูรณ์พอควร เอื้อต่อการดำเนินงานด้านการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชน สถานการณ์ความปลอดภัยในพื้นที่ดังกล่าวจัดอยู่ในระดับการเตรียมพร้อมปกติ

กองกำลังเฉพาะกิจ 980 ไทย/ดาร์ฟูร์ได้ปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจรักษาสันติภาพอย่างแข็งขัน โดยออกลาดตระเวนในพื้นที่ปฏิบัติการและพบปะกับประชาชนเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยและแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารและน้ำ นอกจากนี้ ยังได้ปฏิบัติหน้าที่ด้านงานช่าง ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างฐานปฏิบัติการและอาคารที่พัก โดยในขณะนี้ได้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว นอกจากภารกิจด้านยุทธการแล้ว กองกำลังเฉพาะกิจ 980 ไทย/ดาร์ฟูร์ ยังได้ดำเนินงานด้านกิจการพลเรือน อาทิ การจัดชุดแพทย์เดินทางเข้าพบปะกับบุคคลสำคัญในพื้นที่ปฏิบัติการในเมืองมุกจาร์เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและตรวจรักษาอาการเจ็บป่วย การให้บริการน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภคของโรงพยาบาลท้องถิ่น การซ่อมแซมและปรับปรุงถนนที่ชำรุดบริเวณใกล้เคียงกับฐานปฏิบัติการเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจร รวมทั้งการทำแปลงสาธิตเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยกองกำลังเฉพาะกิจ 980 ไทย/ดาร์ฟูร์ ได้มอบผลผลิตจากแปลงสาธิตให้แก่ผู้แทนเมืองมุกจาร์ ซึ่งรับผิดชอบการให้ความช่วยเหลือมนุษยธรรมและการพัฒนาที่มาเยี่ยมชมด้วย
2.5 นอกจากการเข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติแล้ว ไทยยังมีเจ้าหน้าที่ทหารจำนวน 3 นาย ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากสหประชาชาติให้ปฏิบัติงานในฝ่ายปฏิบัติการรักษาสันติภาพ (Department of Peacekeeping Operations: DPKO) ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก นับได้ว่าสหประชาชาติให้การยอมรับในขีดความสามารถของทหารไทย
2.6 ไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถระดมสรรพกำลังที่ต้องการในการสนับสนุนปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้อย่างรวดเร็วทันการณ์เมื่อได้รับการร้องขอ ในปี 2541 กองบัญชาการกองทัพไทยจึงได้จัดทำความตกลงกับสหประชาชาติว่าด้วยการจัดระบบกำลังเตรียมพร้อม (UN Stand-by Arrangement System: UNSAS) ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลที่ไทยจะต้องแจ้งความพร้อมของกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้ฝ่ายปฏิบัติการสันติภาพของสหประชาชาติทราบทุกๆ 3 เดือนเพื่อสหประชาชาติจะได้พิจารณาขอรับการสนับสนุนด้านกำลังพลในภารกิจต่างๆ โดยมีศูนย์ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ กรมยุทธการทหาร เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
3. บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ
3.1 ในการเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ กระทรวงการต่างประเทศในฐานะหน่วยงานติดต่อประสานงานกับสหประชาชาติและดูแลภาพรวมของความร่วมมือระหว่างไทยกับสหประชาชาติในกรอบต่างๆ จะหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นผู้เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาว่า ปฏิบัติการรักษาสันติภาพครั้งใดที่ไทยควรเข้ามีส่วนร่วม โดยพิจารณาผลกระทบด้านความมั่นคง การเสริมสร้างศักดิ์ศรีและบทบาทของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ และการพัฒนาความรู้และความเชี่ยวชาญของหน่วยงานไทยในบทบาทเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงระหว่างประเทศ นอกเหนือจากบทบาทในด้านการกำหนดนโยบายในภาพกว้างแล้ว กระทรวงการต่างประเทศยังทำหน้าที่กระจายข่าวสารข้อมูลและวิเคราะห์พัฒนาการของปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
3.2 คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก เป็นหน่วยงานหลักของไทยที่เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศกำลังพัฒนาภายใต้กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement: NAM) เพื่อผลักดันประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนา อาทิ ความช่วยเหลือด้านการฝึกอบรม การปรับอัตราค่าทดแทนกรณีเสียชีวิต/บาดเจ็บให้เป็นมาตรฐานเดียว การเร่งรัดกระบวนการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่าย การเรียกร้องให้มีการกระจายตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในฝ่ายปฏิบัติการรักษาสันติภาพให้ทั่วถึงตามภูมิภาค และการเรียกร้องให้ประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นประเทศสนับสนุนกำลังพลได้มีโอกาสมากขึ้นในการร่วมหารือกับคณะมนตรีความมั่นคงฯ เกี่ยวกับการกำหนดขอบข่ายอาณัติและการประเมินสถานการณ์ในการจัดตั้งภารกิจรักษาสันติภาพ
3.3 กระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำยุทธศาสตร์การเข้าร่วมปฏิบัติการเพื่อสันติภาพในกรอบสหประชาชาติ ปี 2553-2557 เพื่อเป็นกรอบนโยบายและทิศทางการเข้าร่วมปฏิบัติการเพื่อสันติภาพอย่างบูรณาการ และเป็นแนวทางการดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดยุทธศาสตร์ย่อยและแผนงานในระดับหน่วยงาน รวมทั้งงบประมาณในการดำเนินงานอย่างเป็นเอกภาพ ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถและยกระดับบทบาทของไทยในการสนับสนุนปฏิบัติการเพื่อสันติภาพในกรอบสหประชาชาติและกรอบความร่วมมืออื่นๆ โดยได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในการจัดทำยุทธศาสตร์ดังกล่าว
4. กระบวนการในการตัดสินใจเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ
4.1 เมื่อปี 2538 กระทรวงการต่างประเทศได้จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านการเข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ โดยมีอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศเป็นประธานและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ ร่วมเป็นคณะกรรมการ โดยมีหน้าที่เสนอแนวนโยบายเกี่ยวกับการเข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานฯ อย่างเป็นทางการ และเพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ โดยให้มีผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงานประสานภารกิจทางทหารกับกระทรวงการต่างประเทศ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอแนะนโยบายและยุทธศาสตร์การเข้าร่วมปฏิบัติการเพื่อสันติภาพของสหประชาชาติอย่างบูรณาการ และพิจารณาให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการส่งกองกำลังเข้าร่วมปฏิบัติการเพื่อสันติภาพตามที่สหประชาชาติร้องขอ โดยคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องในมิติต่างๆ ทั้งด้านการต่างประเทศ ความมั่นคง และเศรษฐกิจ
4.2 หลักการพื้นฐานที่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาเข้าร่วม คือ ผลกระทบต่อความมั่นคงของไทย ผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ ระดับความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานและความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เป็นที่เข้าใจกันว่าปฏิบัติการรักษาสันติภาพแต่ละครั้งมีความหลากหลายในรูปแบบและมีพัฒนาการที่รวดเร็ว จึงต้องมีการตัดสินใจที่ฉับไวและทันต่อเหตุการณ์ ดังนั้น การประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงจึงมีความสำคัญมาก
4.3 ในการเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพแต่ละครั้ง หลังจากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้เสนอเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติในหลักการ โดยรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบและขนาดของกองกำลังที่จะเข้าร่วมนั้น จะมีการหารืออย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
5. ผลประโยชน์ของไทยจากการเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพ
5.1 เป็นการตอบสนองนโยบายต่างประเทศของไทยในการสนับสนุนบทบาทของสหประชาชาติในการธำรงและรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
5.2 เป็นโอกาสในการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่ไทยเข้าร่วมภารกิจและสร้างความนิยมไทย โดยการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรไทยจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระดับบุคคลกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนในพื้นที่ อันจะเอื้อประโยชน์ต่อการขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือในมิติอื่นๆ ในระยะยาวหลังจากความขัดแย้งยุติลงแล้ว เช่น ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและโอกาสด้านการค้าการลงทุน
5.3 เป็นการช่วยธำรงสันติภาพและเสถียรภาพในประเทศและภูมิภาคนั้นๆ เพื่อช่วยสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการพัฒนา รวมทั้งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศที่ดีต่อความร่วมมือด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในระยะยาว
5.4 เป็นโอกาสในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยว่าเป็นสังคมแห่งเมตตาธรรม มนุษยธรรม และความเอื้ออาทรโดยการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก
5.5 เป็นโอกาสในการแสดงศักยภาพของกองทัพไทย รวมทั้งเป็นการพัฒนาความรู้/ความเชี่ยวชาญและเสริมสร้างทักษะ/ประสบการณ์ในเวทีระหว่างประเทศของกำลังพล เป็นเกียรติประวัติ และเป็นการสร้างโอกาสให้เจ้าหน้าที่ของไทยได้รับการพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในฝ่ายปฏิบัติการสันติภาพของสหประชาชาติหรือในองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ
6. หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
6.1 ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ เป็นหน่วยขึ้นตรงกรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2549 โดยยกระดับจากกองปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ เพื่อเป็นทั้งหน่วยอำนวยการและหน่วยปฏิบัติของกองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีความรับผิดชอบหลักในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานรองรับบทบาทของไทยด้านการรักษาสันติภาพร่วมกับสหประชาชาติและมิตรประเทศที่ไทยมีความร่วมมือ เช่น สหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายจะยกระดับเป็นศูนย์ฝึกอบรมด้านสันติภาพระดับภูมิภาค และสนับสนุนความร่วมมือด้านความมั่นคงในกรอบอาเซียน
นอกจากนี้ กองบัญชาการกองทัพไทยได้เปิดสำนักงานที่ปรึกษาทางทหารประจำคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2545 เพื่อสนับสนุนบทบาทของไทยในด้านปฏิบัติการเพื่อสันติภาพของสหประชาชาติอย่างเป็นรูปธรรมด้วย
6.2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการอำนวยการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าร่วมปฏิบัติการเพื่อสันติภาพตามความต้องการของสหประชาชาติ ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มว่า ตำรวจจะมีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น เพราะจะมีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายหลังจากความขัดแย้งได้ยุติลงเพื่อฟื้นฟูความมั่นคงปลอดภัยภายในประเทศ และสนับสนุนการปฏิรูปหน่วยงานด้านความมั่นคงก่อนที่จะถ่ายโอนความรับผิดชอบจากกองกำลังตำรวจสหประชาชาติให้แก่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น